ผมมัน ผมร่วง ทำยังไงดี ใช้แชมพูลดผมร่วง ผมมันแบบไหนดีสุด ?

ผมมัน ผมร่วง ทำยังไงดี ใช้แชมพูลดผมร่วง ผมมันแบบไหนดีสุด ?

สาเหตุผมมัน ผมร่วง เกิดจากอะไร ?

รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อ…

หนังศีรษะของคนเรามีต่อมน้ำมันธรรมชาติที่เรียกว่า ซีบัม (Sebum) ซึ่งทำหน้าที่ในการปกป้องหนังศีรษะไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นและเผชิญกับปัญหาหนังศีรษะแห้ง เมื่อซีบัมผลิตน้ำมันธรรมชาติออกมามากเกินไปก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการหนังศีรษะมัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าผมมันนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น การที่หนังศีรษะมันจนเยิ้มยังเป็นผลทำให้เกิดรังแคและเสี่ยงต่อการมีเชื้อราบนหนังศีรษะได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้นี่จะเป็นสาเหตุหลักของการมีผมมัน แต่ปัจจัยอื่นๆ ก็สามารถเป็นสาเหตุของปัญหานี้ได้ ตามนี้

1. สระผมบ่อยเกินไป อ่านต่อ…

หลายคนมีความสุขกับการสระผมในทุกวันเพื่อที่จะได้มีผมหอมๆ ออกจากบ้านไปทำกิจกรรมต่างๆ บางคนถึงขนาดสระผมมากกว่า1ครั้งใน1วัน แต่รู้หรือไม่ว่าการสระผมบ่อยเกินไปก็ทำให้เกิดผมมันได้ เนื่องจากในทุกครั้งที่สระผมด้วยแชมพู หนังศีรษะจะส่งสัญญาณไปยังต่อมซีบัมให้ผลิตน้ำมันออกมา ยิ่งสระผมบ่อยเท่าไหร่ ซีบัมก็ยิ่งผลิตน้ำมันออกมามากเท่านั้น

2. ความแตกต่างของเส้นผม อ่านต่อ…

คนผมตรงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาผมมันมากกว่าคนมีผมหยักศกหรือผมแบบอื่นๆ เป็นเพราะว่าเส้นผมของคนผมตรงนั้นไม่มีลักษณะทางพื้นผิวในแบบอื่นเลย หรือก็คือไม่เป็นลอนคลื่นนั่นเอง ดังนั้นเมื่อซีบัมผลิตน้ำมันออกมา น้ำมันธรรมชาติเหล่านั้นก็สามารถที่จะไหลตรงไปยังเส้นผมจนทั่วทั้งศีรษะได้ทันที และยังสามารถที่จะมองเห็นได้ง่ายกว่าผมชนิดอื่นๆ ด้วย

3. แชมพูสระผมที่ใช้อยู่ อ่านต่อ…

อีกหนึ่งสาเหตุของปัญหาผมมันก็มาจากผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้นี่เอง เนื่องจากส่วนผสมบางอย่างในแชมพูสามารถที่จะยับยั้งน้ำมันในเส้นผมได้ และเมื่อหนังศีรษะไม่มีน้ำมัน หนังศีรษะก็จะส่งสัญญาณไปยังซีบัมให้ผลิตน้ำมันออกมา เราควรใช้แชมพูแก้ผมร่วง รังแค แก้ผมมัน

4. ความเครียดและฮอร์โมน อ่านต่อ…

เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะของความเครียด ฮอร์โมนที่ชื่อคอร์ติซอล (Cortisol)ก็จะถูกปล่อยออกมา และเมื่อฮอร์โมนคอร์ติซอลถูกปล่อยออกมามากขึ้นก็จะไปกระตุ้นต่อมไขมัน(Sebaceous glands) ที่บริเวณหนังศีรษะ เมื่อได้รับการกระตุ้นดังนี้ จึงส่งสัญญาณไปยังซีบัมให้ผลิตน้ำมันออกมา ทำให้เกิดอาการหนังศีรษะมันนั่นเอง

วิธีแก้ผมมันเร็วผมร่วง ด้วยแชมพูแบบไหน ?

1. เลือกใช้แชมพูสำหรับเด็ก อ่านต่อ…

แชมพูสําหรับผมมัน ผู้ชาย-หญิงทั่วไปของผู้ใหญ่นั้นมีสารเคมีและกลิ่นสังเคราะห์ผสมอยู่ ในขณะที่แชมพูสำหรับเด็กนั้นมีสารเคมีน้อย จึงช่วยลดสาเหตุของอาการผมมัน รวมถึงลดปัญหาผมร่วงได้อีกด้วย หรือแชมพูที่ผ่านมาตรฐาน ไฮโป อัลเลอร์เจนิค ก็สามารถใช้ได้ เพราะเทียบเท่าผลิตภัณฑ์เด็ก ไม่มีสารเคมีรุนแรง ขอแนะนำ แชมพู ภูมิเม่พลัส แชมพูลดผมร่วง ผมมันสูตรยาสระผมแก้ผมร่วง สมุนไพรที่ผ่านมาตรฐานไฮโป พร้อมรางวัลการันตี ระดับเอเชีย เป็นที่นิยมมากในตอนนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บ www.pumeplus.com

2. เลือกแชมพูแก้ผมมัน รังแค อ่านต่อ…

เนื่องจากส่วนผสมในแชมพูแก้ผมมัน ผมร่วง ช่วยลดโอกาสในการที่จะไปกระตุ้นให้ซีบัมผลิตน้ำมันออกมา มีส่วนช่วยให้หนังศีรษะสดชื่น เบาสบาย และบำรุงเส้นผม ไม่ต้องกังวลเวลาพบเจอผู้คนจำนวนมาก คุมอยู่ทุกสถานการณ์

3. เลือกแชมพูสมุนไพร อ่านต่อ…

แชมพูแก้ผมร่วง รีวิว แก้ผมร่วง ถ้ามีสารเคมี จะก่อให้เกิดปัญหาหนังศีรษะได้หากใช้ไปนานๆ การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มาจากธรรมชาติสามารถที่จะช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะแชมพูผมร่วงสมุนไพรมีส่วนช่วยในการขจัดความมันส่วนเกินบนหนังศีรษะและช่วยให้หนังศีรษะมีการไหลเวียนที่ดีขึ้นได้ ยาสระผมแก้ผมร่วง 2020 แชมพูแก้ผมร่วง ผู้ชาย-หญิงส่วนมากจึงมักนิยมใช้สมุนไพรเป็นส่วนผสม หรือจะเลือกแชมพูออแกนิค รังแค แชมพูออแกนิค คือ แชมพูที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเลย จำง่ายๆว่า ตั้งแต่วัตถุดิบส่วนผสม ต่างๆ จะไม่มีสารเคมี ธรรมชาติล้วนๆ ศึกษาแชมพูออแกนิค รีวิว รายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม ได้ไม่ยาก

จบปัญหา ผมร่วง ผมมัน ด้วย H-Sano

เสริมวินตามินและแร่ธาตุ บำรุงผม จากภายใน ดีกว่าหลายเท่า

ผมมัน ผมร่วง ทำยังไง ใช้แชมพูลดผมร่วง ผมมันแบบไหนดีสุด ?

จากคนที่...เคยผมร่วงทุกครั้งที่สระผม
คิดมาก...จนกลุ้มใจ

ห้ามพลาด! โปรโมชั่นเด็ดจำกัดเวลา

2021/03/31 18:00:00

รายละเอียดเพิ่มเติม

สรรพคุณเพิ่มเติม คลิกเพื่ออ่านต่อ...

Collagen Tripeptide

เป็น คอลลาเจนที่ผ่านการย่อยด้วยกรด จนได้ขนาดอนุภาคที่เล็กที่สุด หรือที่เรียกอีกชื่อว่า ไฮโดรไลเซตคอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) ซึ่งขนาดยิ่งเล็กเท่าใดจะบ่งบอกถึง ประสิทธิภาพในการดูดซึมที่ดียิ่งขึ้น

คอลลาเจนชนิดนี้ มีลักษณะโครงสร้างคล้ายคอลลาเจนในผิวมนุษย์ จึงมีส่วนช่วยซ่อมแซมและเติมเต็มคอลลาเจนในผิวหนังได้ดีและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของคลอลาเจน

  1. ช่วยบำรุงผิว ลดรอยเหี่ยวย่น เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย
  2. ช่วยลดรอยหมองคล้ำ ช่วยทำให้ฝ้า กระ จางลง อีกทั้งยังเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวดูเต่งตึงและขาวกระจ่างใส
  3. บำรุงเส้นผม ทำให้รากผมแข็งแรง อีกทั้งยังส่งผลทำให้เส้นผมดูเงางาม ไม่แตกปลาย
  4. ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกและเล็บ ให้แข็งแรง ช่วยป้องกันกระดูกพรุน
  5. ช่วยปรับสมดุลน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่างๆของร่างกายให้เหมาะสม
หญ้าหางม้า Horsetail Grass

หญ้าหางม้า (Horsetail Grass) มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อ และสมานแผล หญ้าหางม้านิยมใช้เป็นยาสมุนไพรมาอย่างยาวนาน งานศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่าสมุนไพรหญ้าหางม้ามีคุณประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย เช่นเป็นแหล่งสะสมซิลิกาช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง เสริมสร้างเนื้อกระดูก คอลลาเจน และเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกายเสริมสร้างโครงสร้างของกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ฟื้นฟูปอดที่ถูกทำลายจากเชื้อวัณโรค(Tuberculosis) และโรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) ช่วยให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหรือฉีกขาดง่าย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดนิ่วในไต และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (kidney and bladder stones)

ประโยชน์ของหญ้าหางม้า

  1. ลดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
  2. ลดการฉี่ลดที่นอนในเด็ก
  3. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
  4. ลดภาวะที่มีการสะสมของน้ำหรือของเหลวในช่องระหว่างเซลล์ หรืออาการบวมน้ำ (edema) ต้านการอักเสบ
L-Arginine

L-Arginine เป็นกรดอะมิโน (amino acid) ชนิดหนึ่งและในทางโภชนาการจัดเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น (essential amino acid) ร่างกายมนุษย์ยังสังเคราะห์เองไม่ได้ ต้องบริโภคจากอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ปลาทะเล โยเกิร์ต ถั่ว จมูกข้าว โดย L-Arginine มีหน้าที่หลักในการแบ่งเซลล์ (เพิ่มปริมาณเซลล์) ของสิ่งมีชีวิต ช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

สำหรับทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโต  L-Arginine จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิต ไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) เพื่อช่วยในเรื่องการขยายตัวของหลอดเลือด รวมทั้งกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความแก่

สามารถเปลี่ยนเป็นแก๊ส Nitric oxide (NO) ได้ภายในร่างกาย ซึ่งแก๊สนี้นั้นสำคัญต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคองคชาติไม่แข็งตัวเนื่องจากจะช่วยทำให้เส้นเลือดผ่อนคลายและทำให้มีเลือดที่มีออกซิเจนสูงนั้นไหลเวียนได้มากขึ้น การที่มีเลือดไหลเวียนไปยังองคชาตินั้นสำคัญต่อการแข็งตัวขององคชาติ

ประโยชน์ของ L-Arginine

  1. เสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์

L-Arginine จะเข้าไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมน และจะทำให้กระบวนต่างๆของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และซ่อมแซมฟื้นฟูส่วนต่างๆได้ดีขึ้น

  1. ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศชาย

L-Arginine สามารถเปลี่ยนเป็นแก๊ส Nitricoxide (NO) ได้ภายในร่างกาย ซึ่งแก๊สนี้นั้นสำคัญต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคองคชาติไม่แข็งตัวเนื่องจากจะช่วยทำให้เส้นเลือดผ่อนคลายและทำให้มีเลือดที่มีออกซิเจนสูงนั้นไหลเวียนได้มากขึ้น การที่มีเลือดไหลเวียนไปยังองคชาตินั้นสำคัญต่อการแข็งตัวขององคชาติ นอกจากนี้ L-Arginine ยังช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิ และอาจช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากในเพศชายอีกด้วย

  1. ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน

โดยกระตุ้นการทำงานของต่อมไทมัส ซึ่งเป็นศูนย์รวมเม็ดเลือดขาวทีเซลล์ (T-lymphocytes) ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับโรคติดเชื้อ โดยทีเซลล์จะถูกปล่อยออกมาเมื่อร่างกายต้องการ จากการศึกษาพบว่า L-Arginine ช่วยเพิ่มจำนวนของทีเซลล์ และอาจช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดขาวที่ทำงานด้านการต่อต้านมะเร็งด้วย

  1. ช่วยการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกาย

L-Arginine จะทำให้เกิดไนตริกออกไซด์ในหลอดเลือด ซึ่งไนตริกออกไซด์ จะทำหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือด ลดคราบพลัค และลดไขมันที่เกาะหรืออุดตันในผนังหลอดเลือด

การออกฤทธิ์

L-Arginine จะทำให้เกิดไนตริกออกไซด์ในหลอดเลือด ซึ่งไนตริกออกไซด์ทำหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดไม่ตีบตัน ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศได้ดีขึ้น

แมงกานีส (Manganese)

แมงกานีส (Manganese) จะพบมากในส่วนของโครงกระดูก ตับ ตับอ่อน หัวใจและต่อมพิทูอิทารี่ แมงกานีสจะช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมโดยประโยชน์หลักๆของแร่ธาตุชนิดนี้ก็คือ จะไปช่วยในเรื่องของการตอบสนองของกล้ามเนื้อการยืดตัวหดตัวดี ช่วยทำให้ไม่ปวดหลังและทำให้ร่างกายสดชื่นมีความจำที่ดีและอื่นๆอีกมากมาย แมงกานีส มีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันในกระดูกและกระดูกอ่อน แมงกานีสจะมีส่วนที่คล้ายกับแมกนีเซียม คือ สารอาหารชนิดนี้จะมีการสูญเสียระหว่างกระบวนการดัดแปลงทางอาหาร เช่น เมื่อธัญพืชถูกเปลี่ยนเป็นแป้งขัดขาว

ประโยชน์ของแมงกานีส (Manganese)

  1. แมงกานีสช่วยควบคุมการทำงานของเอนไซม์ คือช่วยในการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ช่วยลดการเกิดไขมันสะสมในร่างกาย และช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการนำไบโอติน วิตามินบี1 และวิตามินซี มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
  2. ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งแมงกานีสมีความจำเป็นต่อโครงสร้างของกระดูก
  3. แมงกานีสช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต คือช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ให้ทำงานตามปกติและช่วยขับฮอร์โมนเพศสำหรับวัยเจริญพันธุ์
  4. ช่วยเรื่องการทำงานของสมองระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ โดยจะไปควบคุมสุขภาพและการทำงานของสมองระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อให้มีประสิทธิการสั่งงานและมีความสัมพันธ์กัน และมีส่วนช่วยในกระบวนการตอบสนองของกล้ามเนื้อ
Zinc Amino Acid Chelate

Zinc (ธาตุสังกะสี) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ตามปกติสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ไม่สามารถขาดได้ พบมากในผม เล็บ อัณฑะ กระดูก กล้ามเนื้อและ ตับ เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ชนิด เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ นอกจากนี้ยัง ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของโครงสร้างเล็บ ผมและผิวหนัง

อาหารจากธรรมชาติ ที่มีธาตุสังกะสี ได้แก่ หอยนางรม เนื้อสัตว์ อาหารทะเล จมูกถั่วเหลือง ไข่แดง ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ

รูปแบบของสังกะสี ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี และไม่เหลือปริมาณตกค้างจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับระบบทางเดินอาหาร รวมถึงรักษาไว้ซึ่งประสิทธิภาพที่ร่างกายควรจะได้รับ คือสังกะสีในรูปแบบ “ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลต (Zinc Amino Acid Chelate)”

อะมิโน แอซิด คีเลต (Amino Acid Chelate) คือ รูปแบบของการจับกันระหว่างโลหะ (แร่ธาตุ) กับกรดอะมิโน เพื่อทำหน้าที่ในการนำโลหะเข้าสู่ร่างกายได้ดี ทำให้มีการดูดซึมอย่างรวดเร็วพร้อมกับได้รับปริมาณแร่ธาตุที่ครบถ้วนและไม่เหลือการตกค้างของโลหะ

อาการบ่งบอกว่าขาด Zinc

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • บาดแผลหายช้า
  • สูญเสียการรับรู้กลิ่นและรส
  • ผิวหนังอักเสบ เป็นสิว
  • เล็บเป็นจุดขาว

ประโยชน์ของ Zinc

  1. ช่วยป้องกัน และลดการเกิดสิว

ช่วยการรักษาสมดุลของการผลิตฮอร์โมน อีกทั้งยังช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันบริเวณต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังให้เป็นปกติ นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า ด้วยคุณสมบัติของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันของธาตุสังกะสีจึงสามารถต่อต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย

  1. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ช่วยในการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในกระแสเลือดมาเป็นพลังงานได้มากขึ้นด้วย

  1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ช่วยกระตุ้นการทำงานของ T – Lymphocyte ซึ่ง T-Lymphocyte เป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

  1. มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา

ช่วยให้เซลล์จับกับวิตามิน A ได้ดีขึ้นและเซลล์สามารถนำวิตามิน A ไปใช้ได้ดีขึ้น รวมถึงเซลล์บริเวณประสาท ซึ่งวิตามิน A เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา

  1. ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

เพราะสังกะสีจะช่วยสร้างกรดนิวคลีอิก ซึ่งเป็นกรดที่จำเป็นในการสร้างเซลล์ใหม่ จึงช่วยให้แผลผ่าตัด รวมถึงแผลที่อักเสบเรื้อรังมานานให้หายเร็วขึ้น

  1. ช่วยกำจัดสารพิษในตับ

สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของน้ำย่อยแอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส ( Alcohol Dehydrogenase ) ซึ่งช่วยในการขจัดสารพิษในตับอย่างแอลกอฮอล์ให้หมดไป

  1. ช่วยเพิ่มสรรถภาพทางเพศของเพศชาย

สังกะสี ช่วยให้ต่อมลุกหมากทำงานได้เป็นปกติ มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต ของอวัยวะสืบพันธุ์ ช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นกับต่อมลูกหมาก

การออกฤทธิ์ในด้านการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของเพศชาย

แร่ธาตุสังกะสี ( Zinc ) จะถูกดูดซึมได้ในลำไส้เล็กตอนต้น และจะถูกเก็บเอาไว้มากที่สุดใน ตับ ตับอ่อน ไต กระดูกและเนื้อเยื่อ ที่เหลืออาจถูกเก็บไว้ในต่อมลูกหมากและตัวอสุจิ ผิวหนัง ผม และเล็บ

หากร่างกายได้รับแคลเซียมฟอสฟอรัส วิตามินดี สารไฟเตตและใยอาหารในปริมาณมากจะมีผลให้การดูดซึมของสังกะสีถูกขัดขวาง ดังนั้นหากบริโภคอาหารที่มีสารเหล่านี้สูง ก็ควรจะบริโภคอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีเข้าไปในปริมาณที่เท่าๆ กันด้วย

การทำงานของสังกะสี กับวิตามินตัวอื่น

หากคุณเพิ่มซิงค์ในอาหาร ร่างกายของคุณจะต้องการวิตามินเอเพิ่มขึ้น เนื่องจากซิงค์ทำงานร่วมกับวิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัสได้ดีที่สุด

หากคุณกำลังรับประทานทั้งซิงค์ และเหล็กเป็นผลิตภัณฑ์เสริม แนะนำให้ทานแยกเวลากัน เนื่องจากมันอาจจะขัดขวางการทำงานกันเองได้

ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็ก คือ สารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการผลิตเฮโมโกลบิน ไมโอโกลบิน และเอนไซม์บางชนิด รวมทั้งยังเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามินซี โคบอลต์ แมงกานีส และทองแดง ซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญต่อการดูดซึมของธาตุเหล็ก แต่ทั้งนี้วิตามินอีและสังกะสีที่มีอยู่ในร่างกายในปริมาณมากนั้นจะคอยขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็กเสียเอง ส่วนธาตุเหล็กที่เรารับประทานเข้าไปก็มักจะเกิดการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เพียงประมาณ 8% เท่านั้น

แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับธาตุเหล็กจากการรับประทานเข้าไปอย่างเพียงพอ โดยแหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงก็คือ ปลา เป็ด ไก่ ตับ ม้าม อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่แดง และอาหารเช้าซีเรียล ส่วนอาหารที่จะช่วยเสริมธาตุเหล็กในร่างกายได้เช่นกันคือ ผักใบเขียวเข้มทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ใบตำลึง ผักโขม รวมทั้งถั่วดำ ข้าวโอ๊ต และถั่วแดง เป็นต้น

ประโยชน์ของ เหล็ก

  1. มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายเติบโตและมีความแข็งแรงเป็นปกติ
  2. มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
  3. ป้องกันอาการโรคโลหิตจาง
  4. ช่วยกำจัดโลหะหนักที่เป็นพิษออกจากร่างกาย
  5. ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้
  6. เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ตลอดจนทำให้ร่างกายห่างไกลจากอาการเจ็บป่วย
  7. ช่วยให้เซลล์สมองของคนเราเจริญเติบโตได้ดี
  8. ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกาย
  9. มีส่วนช่วยในการเพิ่มความงามให้แก่ผิว เพราะธาตุเหล็กจะช่วยทำให้ผิวพรรณของคนเราแลดูเรียบเนียน
  10. มีส่วนสำคัญต่อไขกระดูกในร่างกาย
ไบโอติน

ไบโอตินคือวิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายน้ำได้ รู้จักกันในชื่ออื่น ๆ คือวิตามินเอช (Vitamin H) หรือวิตามินบี 7 (Vitamin B7) ร่างกายต้องการไบโอตินเพื่อช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของคนเราจะได้รับไบโอตินจากการรับประทานในแต่ละวันอย่างเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว อาหารที่มีปริมาณไบโอตินสูง ได้แก่ ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง หรือวอลนัท ถั่วเหลือง หรือพืชตระกูลถั่วชนิดอื่น ๆ ธัญพืช กล้วย ผักชนิดต่าง ๆ เช่น กะหล่ำดอก เห็ด เป็นต้น

ประโยชน์ของไบโอติน

  1. รักษาและป้องกันภาวะขาดไบโอติน ภาวะนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคขาดสารอาหาร การมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว การได้รับอาหารผ่านทางสายยางเป็นเวลานาน ๆ เป็นต้น ผู้ป่วยที่ขาดไบโอตินอาจมีอาการบ่งชี้ คือ ผมบางลง สีผมเปลี่ยนไป มีผื่นแดงขึ้นรอบดวงตา จมูก และปาก รวมทั้งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า เซื่องซึม มีอาการประสาทหลอน หรือเป็นเหน็บบริเวณแขนและขาได้ การรับประทานอาหารเสริมสามารถช่วยทดแทนไบโอตินส่วนที่ขาดไปได้ อย่างไรก็ตาม ปกติคนเราได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทานอาหารอย่างเพียงพออยู่แล้ว อีกทั้งร่างกายสามารถนำไบโอตินที่ใช้ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้ ดังนั้น ภาวะขาดไบโอตินจึงเกิดขึ้นได้น้อย
  2. มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพผม ผิวหนัง และเล็บ เส้นผม ผิวหนัง และเล็บของคนเรานั้นประกอบขึ้นจากโปรตีนเคราตินเป็นหลัก ไบโอตินมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างโครงสร้างของเคราตินให้แข็งแรง การขาดไบโอตินอาจส่งผลกระทบต่อเคราตินจนทำให้สุขภาพเส้นผม ผิวหนัง และเล็บอ่อนแอลงได้
  3. ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญ ไบโอตินเป็นวิตามินอีกหนึ่งชนิดที่มีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบเผาผลาญ โดยจะทำหน้าที่เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส เพื่อใช้เป็นพลังงาน ทั้งยังมีส่วนช่วยให้กรดอะมิโนทำงานร่วมกับระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ